ผิวขาวและผิวพอร์ซเลน: เคล็ดลับดูแลผิวสำหรับผิวขาว

เริ่มจากสีผิวขาวแบบพอร์ซเลนจนถึงสีเบจ ผิวขาวต้องการการดูแลอ่อนโยนและใส่ใจเป็นพิเศษ ในขณะที่ระดับสีแตกต่างกันแต่สิ่่งหนึ่งที่เหมือนกันของสาวผิวขาวคือผิวไวต่อการทำลายจากแสงแดดสูง ซึ่งปกติจะนำไปสู่ผิวแก่ก่อนวัย ให้เราลองแนะนำวิธีดูแลที่ดีที่สุดที่จะช่วยผิวขาวของคุณ

ความกังวลของสาวผิวขาว
คุณโชคดีแล้ว ผิวขาวมีแนวโน้มที่จะมีสีผิวสม่ำเสมอกันมากกว่าผิวสีอื่น ๆ การผลิตเม็ดสีเฉพาะจุดมากไป (hyperpigmentation) และจุดด่างดำเป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะคนผิวขาวโดยทั่วไปจะมีเมลานินหรือเม็ดสีผิวที่น้อยกว่า ตามธรรมชาติ ซึ่งที่จริงแล้วคนผิวขาวจะมีโครงสร้างของเซลล์ ที่รับผิดชอบในการสร้างเม็ดสีน้อยกว่า10% เมื่อเทียบกับคนผิวคล้ำ

ส่วนในด้านที่ไม่พึงประสงค์ ผิวขาวจะเสี่ยงสูงกว่าที่จะถูกทำลาย โดยแสงแดดและเกิดมะเร็งผิวหนัง การทำลายจากแสงแดดเป็นสาเหตุ ให้สาวผิวขาวเกิดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย เมื่ออีลาสติน (เส้นใยที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น) อ่อนแอลง การทำลายจากรังสียูวีสามารถทำให้การผลัดเซลล์ผิวช้าลง เหลือไว้แค่ผิวหมองคล้ำ ซีดและแห้งง่าย

ครีมกันแดดคือราชาสำหรับราชินีผิวขาว
คุณอาจจะได้ยินมาก่อนและก็จะได้ยินซ้ำอีก : ครีมกันแดดสำคัญมาก ทามอยซ์เจอไรเซอร์ที่มี SPF ทุกวัน ระหว่างเดือนในหน้าร้อน และหน้าหนาวด้วย ทาให้ทั่วใบหน้า คอ เนินอก แขนและมือ

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุดในการป้องกันการทำลายจากแสงแดดครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 15 จะช่วยป้องกันการเกิดสัญญาณแห่งวัย ก่อนเวลาอันควรและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนัง

สุดยอดกลเม็ดเคล็ดลับในการดูแลผิวของสาวผิวขาว

• ทำความสะอาดสม่ำเสมอ ล้างหน้าทั้งเช้าและเย็นโดยใช้แปรง ทำความสะอาด เพื่อช่วยขจัดคราบเมคอัพและสิ่งสกปรกอื่น ๆ หรือน้ำมันที่สะสมอยู่บนผิวตลอดทั้งวัน
• ทำสองหน้าที่ ให้มอยซ์เจอไรเซอร์ที่ใช้ในตอนเช้า ทำงานสองหน้าที่ โดยเลือกที่มีทั้ง SPF และสารต่อต้าน อนุมูลอิสระ เช่น Gycerinและไนอาซินาไมด์
• ซ่อมแซมยามหลับ กระตุ้นให้ผิวของคุณซ่อมแซมตัวเอง ตามธรรมชาติด้วยมอยซ์เจอไรเซอร์สำหรับกลางคืนที่มีไนอาซินาไมด์และเรตินอลที่ช่วยเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่
• เพื่อดวงตา…ต้องมี นวดรอบดวงตาเบา ๆ ด้วยอายครีมที่มีไนอาซินาไมด์ทุกวันจะช่วยลดความหมองคล้ำและรอยบวมใต้ตา
  
  

การยึดมั่นต่อการป้องกันแสงแดดและกิจวัตรการดูแลผิวที่สม่ำเสมอจะช่วยให้คุณมีผิวขาวที่เจิดจ้า

ที่มา:
http://www.aad.org/media-resources/stats-and-facts/prevention-and-care/indoor-tanning